วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

สัปดาห์ที่ 5 
บันทึกอนุทิน
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
วัน/เดือน/ปี 16 กันยายน พ.ศ.2557
ครั้งที่ 5 กลุ่มเรียน 101 วันอังคาร ตอนเที่ยง 
เวลาเข้าเรียน 12.20 - 15.00 น. ห้อง 234 อาคาร 2

ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง  มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ"

เด็กปัญญาเลิศ ( Gifted Child )
  • เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
  • มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
  • พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
  • เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
  • อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
  • มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
  • จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
  • มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
  • มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
  • เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
  • มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
  • ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน
  • เด็กฉลาดตอบคำถาม                    
  • สนใจเรื่องที่ครูสอน
  • ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน
  • ความจำดี
  • เรียนรู้ง่ายและเร็ว
  • เป็นผู้ฟังที่ดี
  • พอใจในผลงานของตน
Gifted
  • ตั้งคำถาม
  • เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
  • ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
  • อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
  • เบื่อง่าย
  • ชอบเล่า
  • ติเตียนผลงานของตน
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
    1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กที่มีบกพร่องทางการเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5.เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6.เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7.เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8.เด็กออทิสติก
9.เด็กพิการซ้อน

1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
           หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน  มี 2 กลุ่ม เด็กเรียนช้าและเด็กปัญญาอ่อน

          เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
        
          สาเหตุของการเรียนช้า
  • ภายนอก
  • ภายใน
1. ภายนอก
  • เศรษฐกิจของครอบครัว
  • การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
  • สภาวะทางด้านอารมณ์ขิงคนในครอบครัว
  • การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
  • วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2.ภายใน
  • พัฒนาการช้า
  • การเจ็บป่วย
          
          เด็กปัญญาอ่อน
- ระดับสติปัญญาต่ำ
- พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
- อาการแสดงก่อนอายุ 18
          พฤติกรรมการปรับตน
  • การสื่อความหมาย
  • การดูแลตนเอง
  • การดำเนินชีวิตภายในบ้าน
  • การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
  • การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
  • การควบคุมตนเอง
  • การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
  • การใช้เวลาว่าง
  • การทำงาน
  • การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น
            เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม

1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
- ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆได้เลย
- ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
- ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
- กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R. (Custodial Mental Retardation)
3.เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
- พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
- สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
- เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R. (Trainable Mentally Retarded)
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
- เรียนในระดับประถมศึกษาได้
- สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
- เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retardrd)

ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
          สาเหตุ
  • ความผิดปกคิของโครโมโซมคู่ที่ 21
  • ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
          อาการ
  • ศีรษะเล็กและแบน
  • หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
  • ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
  • ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
  • เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
  • ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
  • มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
  • เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ
  • ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
  • มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
  • บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
  • อารมณ์ดีเลี้บงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
  • อวัยวะเพศมักเจรริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
  • การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
  • อัลตราซาวด์
  • การตัดชิ้นเนื้อรก
  • การเจาะน้ำคร่ำ
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน ( Children with Hearing Impaired )
             หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ เด็กฟูตึง และ เด็กหูหนวก

        เด็กหูตึง
        หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กหูตึงระดับน้อย  ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB
         เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น  เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง  ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติ ในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3.เด็กหูตึงระดับมาก  ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง  ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
         เด็กหูหนวก
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดไ้ด้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

ลักษณะที่บกพร่องทางการได้ยิน
  • ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
  • ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
  • พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
  • พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงพูด
  • พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
  • เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
  • รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน แลการเคลื่อนไหวรอบตัว
  • มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น  ( Children with Visual Impairments )
  • เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
  • มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
  • สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
  • มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
  • จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
  • เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห้นบ้าง
  • ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการรับรู้
  • มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
  • มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว้าง 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
  • เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
  • สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่าเด็กปกติ
  • เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อกว่านั้น
  • มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิด 30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการมองเห็น
  • เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
  • มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
  • มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
  • ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
  • เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
  • ตาหรือมือไม่สัมพนธ์กัน
  • มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

Mind  Map
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ



การประเมินผล
  • ตนเอง  เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจฟังและจดบันทึกตามขณะครูสอน
  • เพื่อน  : เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายเรียบร้อย  ตั้งใจฟังขณะครูสอน มีการแสดงความคิดเห็นร่วมกัน
  • อาจารย์  เข้าสอนตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มีการยกตัวอย่างการสอนจากประสบการณ์ที่พบเจอ และสอนสนุก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น